บัญชีนวัตกรรมไทยจัดตั้งขึ้นมาใน พ.ศ. 2558 เพื่อรวมรวมผลิตภัณฑ์หรือบริการที่วิจัยและพัฒนาด้วยองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศไทย เป็นการสนับสนุนและส่งเสริมให้นวัตกรรมไทยถูกนำมาใช้ประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สามารถผลิตสู่เชิงพาณิชย์ โดยเฉพาะนวัตกรรมทางการแพทย์คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 53.5 ของผลงานในบัญชีนวัตกรรมไทย อย่างไรก็ตามในปัจจุบันผลงานวิจัยทางการแพทย์ของประเทศไทยจากทั้งภาครัฐและเอกชนที่ยังไม่ได้รับการนำไปใช้ทางพาณิชย์อย่างแพร่หลาย เนื่องจากขาดโอกาสและการผลักดันในการตอบสนองต่ออุปสรรคต่าง ๆ นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์บางประการที่ถูกนำเข้าทะเบียนนวัตกรรมกลับไม่ได้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความต้องการสูงในตลาดและยังไม่ได้รับความเชื่อมั่นจากผู้ซื้อ นอกเหนือจากนี้เนื่องจากข้อจำกัดของทรัพยากรและงบประมาณการลงทุนสนับสนุนการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมด้านการแพทย์ของประเทศไทย จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทราบปัจจัยที่เอื้อต่อความสำเร็จของนวัตกรรมในอนาคต เพื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับนวัตกรรมที่มีคุณค่าสูง เพื่อให้มั่นใจว่าทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดจะถูกจัดสรรไปยังโครงการที่มีศักยภาพในการสร้างผลกระทบสูงสุด และสามารถนำไปใช้จริงได้ในระบบสาธารณสุขของประเทศ
โครงการ “การพัฒนาและจัดทำกระบวนการเฝ้าติดตามนวัตกรรมด้านการแพทย์ของประเทศไทย” จึงดำเนินการพัฒนากระบวนการเฝ้าติดตามนวัตกรรมทางการแพทย์ของประเทศไทย (Horizontal Scanning) ในนวัตกรรมทางการแพทย์ที่บรรจุในบัญชีนวัตกรรมไทย และนวัตกรรมที่ได้บรรจุเข้าชุดสิทธิประโยชน์ภายใต้ระบบประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อบ่งชี้ตัวแปรและปัจจัยต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อการพัฒนานวัตกรรมที่มีศักยภาพสูงของประเทศไทย โดยใช้ทั้งการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ โดยการพัฒนาแบบจำลองทางสถิติเพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของนวัตกรรมด้านการแพทย์ และพัฒนาเกณฑ์การจัดลำดับความสำคัญของนวัตกรรมด้านการแพทย์ในบัญชีนวัตกรรมเพื่อระบุรายการนวัตกรรมที่มีศักยภาพสูง และเพื่อเป็นฐานในการพัฒนากลไกการผลักดันนวัตกรรมทางการแพทย์ที่มีศักยภาพสูงในบัญชีนวัตกรรมไทยเข้าบรรจุเข้าชุดสิทธิประโยชน์ภายใต้ระบบประกันสุขภาพแห่งชาติ และเพื่อการพัฒนาระบบสนับสนุนให้วงการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมไทยมีโอกาสประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้นในอนาคต
จากผลการศึกษาและรับฟังข้อคิดเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสามารถสรุปได้ว่า การพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์เป็นกระบวนการที่มีความซับซ้อนและต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน การผลักดันผลิตภัณฑ์นวัตกรรมเข้าสู่ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติจำเป็นต้องมีกระบวนการกลั่นกรองอย่างเป็นระบบ ซึ่งประกอบด้วยการกำหนดนิยามนวัตกรรมที่ชัดเจน การประเมินความคุ้มค่าทางการแพทย์ในระยะแรก และการจัดลำดับความสำคัญของนวัตกรรม โดยคำนึงถึงภาระโรคและผลกระทบต่อระบบสุขภาพ ทั้งนี้กลุ่มโรคที่ส่งผลกระทบสูงต่อระบบสาธารณสุขไทย ได้แก่ โรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็งและเนื้องอก โรคเบาหวานและโรคไต นวัตกรรมที่สามารถลดค่าใช้จ่ายและจำนวนผู้ป่วยในกลุ่มโรคเหล่านี้จึงควรได้รับการสนับสนุนเป็นพิเศษ นอกจากนี้ยังมีความจำเป็นในการพัฒนานวัตกรรมสำหรับโรคติดต่อและโรคเขตร้อนที่ถูกละเลย เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพของระบบประกันสุขภาพแห่งชาติ
บทบาทของภาครัฐมีความสำคัญอย่างยิ่งในการสนับสนุนระบบนิเวศน์นวัตกรรม โดยควรเข้าไปมีส่วนร่วมทั้งในฐานะผู้พัฒนา ผู้ลงทุน และผู้กำหนดทิศทางการวิจัย เพื่อให้นวัตกรรมที่เกิดขึ้นสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างแท้จริง