เรื่องเด่น

ปิดช่องว่างการสร้างเสริมสุขภาพด้วยความแม่นยำ: ทำความรู้จัก PI ฝ่ายงานที่ทำให้มาตรการสุขภาพคุ้มค่าจริง

จำนวนเข้าชม

15
แชร์เรื่องเด่นนี้

รู้หรือไม่ว่า...ประเทศไทยลงทุนในโครงการสร้างเสริมสุขภาพ (health promotion) หลายหมื่นล้านบาทต่อปี แต่คำถามสำคัญที่ยังคงท้าทายวงการสาธารณสุขและยังไม่ได้รับคำตอบที่แน่ชัด คือ เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าการลงทุนเหล่านี้ช่วยให้คนไทยสุขภาพดีขึ้นได้จริง?

แม้ระบบสุขภาพไทยจะมีความก้าวหน้าด้านการเข้าถึงการรักษา แต่พื้นที่ของมาตรการสร้างเสริมสุขภาพ ยังคงเป็นช่องว่างที่ควรพัฒนาไปควบคู่กัน คำถามดังกล่าวจึงถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการก่อตั้งฝ่ายการผสานข้อมูลและประเมินโครงการส่งเสริมสุขภาพ (Precise Interventions: PI) ของ HITAP ฝ่ายงานที่จะเข้ามาเติมเต็มช่องว่างนี้ นำไปสู่การสร้างมาตรการด้านสุขภาพที่คุ้มค่าสำหรับคนไทย

นพ.กติกา อรรฆศิลป์ (คุณหมอโกชิ)
นพ.กติกา อรรฆศิลป์ (คุณหมอโกชิ)

พอได้ยินคำว่า precision หรือ precise ในแวดวงสุขภาพ หลายคนมักนึกถึงเรื่อง precision medicine (การแพทย์แม่นยำ) หรือ ทันที แต่ความจริงแล้ว precise ของเราคือความแม่นยำ

นพ.กติกา อรรฆศิลป์ หรือคุณหมอโกชิ หัวหน้าฝ่าย PI และนักวิจัยสังกัดกรมการแพทย์ อธิบายถึงที่มาของชื่อฝ่าย โดย Precise Interventions หมายถึง การทำให้มาตรการสุขภาพนั้นตรงเป้าหมายมากที่สุด ด้วยการใช้ข้อมูล (data) ที่มีคุณภาพ เช่น เช่น อายุ เพศ พฤติกรรมเสี่ยงของประชากร เพื่อให้สามารถระบุกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการมาตรการนั้นได้ และหลีกเลี่ยงการลงทุนเสียเปล่าในมาตรการที่ยังไม่เหมาะสม

เมื่อมาตรการสร้างเสริมสุขภาพต้องพิสูจน์ได้ว่าคุ้มค่าฯ

การก่อตั้งฝ่าย PI เริ่มต้นจากการที่ HITAP มองเห็นช่องว่างสำคัญในการประเมินผลโครงการสุขภาพ โดยเฉพาะในด้าน health promotion แม้ HITAP จะดำเนินงานนี้อยู่บางส่วน แต่ยังไม่ชัดเจนและขาดการมีส่วนร่วมจากหลายหน่วยงาน ที่สำคัญคือมักมีคำถามเกิดขึ้นเสมอว่า โครงการเหล่านี้คุ้มค่าหรือไม่ และควรขยายผลอย่างไร

คุณหมอโกชิได้ยกตัวอย่างลักษณะการทำงานของหน่วยงานที่มุ่งเน้นด้าน health promotion อย่าง สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เพื่อชี้ให้เห็นถึงความท้าทายที่ต้องได้รับการพัฒนา “จุดเด่นคือโครงการเขาสามารถเข้าถึงประชาชนได้จริง แต่จุดที่ไม่ควรมองข้าม คือ ด้านการประเมินผล เมื่อมีแคมเปญที่ชัดเจนแล้ว อยู่ในความสนใจของคน แล้วมันนำไปสู่การสร้างเสริมสุขภาพจริง ๆ ไหม ลดการดื่มเหล้าได้ไหม เท่าไหร่?” การตั้งคำถามเช่นนี้ สะท้อนถึงความจำเป็นที่ต้องมีเครื่องมือการวัดผลที่แม่นยำ เพื่อสนับสนุนให้โครงการเหล่านี้ดำเนินอยู่บนหลักฐานเชิงประจักษ์

ดังนั้น การดำเนินงานของ PI จึงมุ่งเน้นไปที่การใช้ HTA (health technology assessment) กับงานด้าน health promotion โดยเฉพาะ เพื่อให้หน่วยงานที่ลงทุนในโครงการสุขภาพด้านดังกล่าวสามารถตอบสังคมได้อย่างมั่นใจว่า สิ่งที่ลงทุนไปมีความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ (cost-effectiveness) จริง และสามารถตัดสินใจได้อย่างมีหลักฐานว่ามาตรการนั้นควร ‘ไปต่อ’ หรือ ‘พอแค่นี้’

PI จึงเป็นฝ่ายงานที่สร้างแนวทางการประเมินที่ชัดเจนสำหรับโครงการสร้างเสริมสุขภาพ ซึ่งผลงานที่น่าประทับใจ คือ แนวทางการประเมินโครงการส่งเสริมกิจกรรมทางกายและลดพฤติกรรมเนือยนิ่ง ผลงานชิ้นนี้ได้รับความสนใจจากผู้ให้ทุนอย่างมาก

แนวทางการประเมินโครงการส่งเสริมกิจกรรมทางกายและลดพฤติกรรมเนือยนิ่ง
แนวทางการประเมินโครงการส่งเสริมกิจกรรมทางกายและลดพฤติกรรมเนือยนิ่ง

แนวทางการประเมินโครงการส่งเสริมกิจกรรมทางกายและลดพฤติกรรมเนือยนิ่งที่เราทำเสร็จไป เราตั้งใจทำและเรียนรู้ไปกับมัน แม้จะเป็นฉบับที่หนึ่ง แต่ สสส. หรือผู้ให้ทุนเขาชอบมันมาก เขาอยากจะนำเครื่องมือต่าง ๆ ในแนวทางไปใช้ และอยากทำงานร่วมกันต่อเพื่อให้มีการประเมินที่ชัดเจน ทำให้โครงการเหล่านี้ที่มุ่งเน้นเรื่องลดพฤติกรรมเนือยนิ่ง เพิ่มกิจกรรมทางกาย มีคุณภาพมากขึ้นในประเทศไทย

นอกจากนี้ สสส. ยังให้ทุนสนับสนุนการประเมินผลกระทบของโครงการต่อเนื่อง เช่น โครงการประเมินผลกระทบของมาตรการ Active School (โรงเรียนฉลาดเล่น) ซึ่งเป็นโครงการที่ส่งเสริมกิจกรรมทางกายให้กับนักเรียนในโรงเรียน การประเมินนี้จะช่วยให้ทราบถึงผลลัพธ์ระยะยาวว่ามีความคุ้มค่าฯ หรือไม่ และจะส่งผลต่อสุขภาพในอนาคตของเด็ก ๆ อย่างไร

ยกระดับการประเมินให้แม่นยำด้วยเทคโนโลยีใหม่

นอกเหนือจากการประเมิน HTA ของโครงการสร้างเสริมสุขภาพแล้ว PI ยังศึกษาความคุ้มค่าฯ ในมิติของเทคโนโลยีใหม่ (new technology) และนำข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยีเหล่านั้น อาทิ ชุดข้อมูลขนาดใหญ่ (big data), คลังข้อมูล (data warehouse) ตลอดจนถึงปัญญาประดิษฐ์ (artificial intelligence: AI) มาประยุกต์ใช้ในการทำงาน เพื่อให้การประเมินโครงการเกิดความแม่นยำมากขึ้น ตัวอย่างผลงานที่น่าสนใจและใช้ได้จริงในบริบทของประเทศไทย คือ การประเมินความคุ้มค่าฯ ของการใช้ AI อ่านผลเอกซเรย์เพื่อคัดกรองวัณโรคในชุมชน ซึ่งเป็นโรคเรื้อรังที่อยู่คู่กับสังคมไทยมายาวนาน การศึกษาเรื่องนี้พบว่า การใช้ AI อ่านผลเอกซเรย์ร่วมกับแพทย์มีความคุ้มค่าฯ (อ่าน Policy Brief ที่เกี่ยวข้อง)

ตอนนี้มีการประชุมผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอยู่ว่า...ใช้แค่กับวัณโรคก็คุ้มค่าแล้ว ถ้าเอาไปใช้กับโรคอื่น ๆ ด้วยเพื่อคัดกรองและวินิจฉัยโรคทางปอดและทางอื่น ๆ ก็จะยิ่งคุ้มค่ามากขึ้น

อย่างไรก็ตาม การนำเทคโนโลยีใหม่มาปรับใช้่ยังมาพร้อมกับความท้าทายที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง โดยคุณหมอโกชิเผยว่าทีม PI ต้องเตรียมพร้อมรับมือกับประเด็นสำคัญหลาย ๆ ด้าน

การศึกษาที่เกี่ยวกับการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ก็มีความท้าทาย ทั้งเรื่องข้อมูลต้นทุนที่ยังไม่ชัดเจน ด้าน learning curve ที่ผู้ใช้ต้องเรียนรู้ให้สามารถใช้เทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพจริง ๆ สิ่งเหล่านี้ก็เป็นหลาย ๆ ด้านที่ทีมเรายังต้องเรียนรู้ต่อไปเพื่อประเมินความคุ้มค่าให้ดียิ่งขึ้น

ความท้าทายนี้ยิ่งทวีความซับซ้อนขึ้น เมื่อ PI นำ่มาใช้ในการประเมินโครงการส่งเสริมสุขภาพ คุณหมอโกชิได้ยกตัวอย่างว่า PI ได้นำเทคโนโลยีมาช่วยในการประเมินโครงการส่งเสริมสุขภาพ เช่น สร้าง data warehouse ลิงก์กับโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ซึ่งข้อมูลที่เกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพในฐานข้อมูลของโรงพยาบาลนั้นเป็นข้อมูลที่ไม่มีโครงสร้าง (unstructured data) หรือข้อมูลที่ไม่สามารถดึงมาใช้ได้ทันที ต้องใช้โมเดลต่าง ๆ มาช่วยในการแปลอีกชั้นหนึ่งก่อน

พอสำรวจเรื่อง data เยอะขึ้น ก็เริ่มรู้แล้วว่า data นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย” คุณหมอโกชิเผย เมื่อการทำงานเกี่ยวกับข้อมูลมีความละเอียดอ่อนกว่าที่คาดไว้ “พอ data มีความ unstructured มีเรื่องความเป็นส่วนตัว (data privacy) ระบบธรรมาภิบาล (data governance) หรือสถาปัตยกรรมข้อมูล (data architecture) เราก็ต้องรู้เรื่องเหล่านั้นด้วย... ใหญ่กว่าที่คิด แต่ก็สนุกกว่าที่คิด

การเรียนรู้และพัฒนาความเชี่ยวชาญในด้านการจัดการข้อมูลจึงเป็นส่วนสำคัญของการทำงานภายในทีม PI เพื่อให้สามารถนำข้อมูลที่มีคุณค่ามาใช้ประเมินโครงการฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย

พลังแห่งความหลากหลาย เปลี่ยนความท้าทายให้กลายเป็นโอกาส

จุดเด่นอีกหนึ่งจุดของฝ่าย PI คือการมีทีมงานผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขา อาทิ นักพัฒนาซอฟต์แวร์ (software engineer) นักชีวสารสนเทศศาสตร์ (bioinformatician) และนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล (data scientist) ซึ่งความหลากหลายของความเชี่ยวชาญนี้ถือเป็นกลไกสำคัญในการรับมือกับความท้าทายด้านข้อมูลที่กล่าวมาข้างต้น

“คนที่มาจากสาขาต่างกัน ใช้ภาษาต่างกัน มองปัญหาต่างกัน บางครั้งการอธิบายให้เข้าใจกันต้องใช้เวลา แต่ทีมก็หาวิธีรับมือด้วยการให้ทุกคนมีส่วนร่วมในโปรเจกต์ที่สนุก ซึ่งทำให้ทักษะที่แตกต่างกันสามารถเสริมกันได้ในที่สุด และนำไปสู่งานที่มีคุณภาพ เราเชื่อว่าการที่มีบุคลากรที่หลากหลายในองค์กรเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เราไม่ล้าหลัง ในวันนึงถ้าทุกคนพูดเรื่อง Python เราก็จะตามทันแน่นอน” คำตอบของคุณหมอโกชิสะท้อนวิสัยทัศน์ของ PI ที่ให้ความสำคัญกับการสร้างทีมงานที่พร้อมรับเทคโนโลยีใหม่ เพื่อขับเคลื่อนองค์กรให้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลง

นอกจากนี้ ความเชี่ยวชาญอันหลากหลายไม่ได้เพียงแค่ช่วยให้ทีมรับมือกับข้อมูลอันซับซ้อนได้เท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสให้ PI สร้างสรรค์วิธีการส่งเสริมสุขภาพในรูปแบบใหม่ ๆ อีกด้วย เช่น การนำ gamification มาประยุกต์ใช้

เรื่องสร้างเสริมสุขภาพ บางอย่างมันก็น่าเบื่อใช่ไหมครับ เช่น กินคลีน ออกกำลังกายทุกวัน คืออาจจะทำได้นะ แต่ก็ไม่ได้ง่าย เราเลยพยายามมองหาสิ่งใหม่ ๆ ที่เป็นเทรนด์ของการสร้างเสริมสุขภาพ มาพัฒนาให้ทันสมัยขึ้น ผลงานบางส่วนของเราจึงเป็นเกม

แนวคิดของ gamification คือนำกลไกของเกม ไม่ว่าจะเป็นความท้าทาย การแข่งขัน หรือการให้รางวัล มาปรับใช้ร่วมกับสิ่งอื่น ๆ เมื่อนำแนวคิดนี้มาบูรณาการกับการส่งเสริมสุขภาพ ก็ทำให้มาตรการน่าสนใจและดึงดูดให้กลุ่มเป้าหมายมีส่วนร่วมได้มากขึ้น และสามารถเก็บข้อมูลเพื่อนำมาวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายต่อได้อย่างปลอดภัยและเป็นระบบ

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือการพัฒนาเกม Carbon Quest ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง PI กับฝ่ายเศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อม (Environmental Economics Unit: E2U) เกมนี้ชวนผู้เล่นมาสำรวจว่ากิจกรรมในแต่ละวันของเราปล่อยคาร์บอนมากน้อยเท่าไหร่ เพื่อให้ตระหนักว่าการปล่อยคาร์บอนเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวและทุกคนมีส่วนร่วมในการลดการปล่อยคาร์บอนได้ เกมนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือให้ความรู้ แต่ยังเชื่อมโยงไปยังเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมที่อาจส่งผลต่อสุขภาพของเราอีกด้วย

เกม Carbon Quest

ขยายขีดความสามารถ ด้วยเครือข่ายความร่วมมือในทุกระดับ

PI ให้ความสำคัญกับการสร้างเครือข่ายความร่วมมือที่แข็งแกร่ง เพื่อให้การประเมินมาตรการส่งเสริมสุขภาพสามารถขับเคลื่อนและสร้างผลลัพธ์ได้ในวงกว้าง โดยมี สสส. เป็นพาร์ทเนอร์หลักและเป็นแหล่งทุนสำคัญ นอกจากนี้ยังมีแหล่งทุนอื่น ๆ ที่สนับสนุนการดำเนินงาน เช่น สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกสว.) และสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.)

ความร่วมมือที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่ง คือ กรมการแพทย์ และ สถาบันวิจัยและประเมินเทคโนโลยีทางการแพทย์ (Institute of Medical Research and Technology Assessment: IMRTA) ซึ่งเป็นหน่วยงานราชการภายใต้กระทรวงสาธารณสุขที่มีภารกิจด้านการวิจัยทางการแพทย์และการประเมินเทคโนโลยี

การที่เราทำงานร่วมกันนี้ เป็นไอเดียที่ทุกฝ่ายสนับสนุน ทั้ง HITAP กรมการแพทย์ และ IMRTA ต่างเห็นตรงกันว่าจุดแข็งของทั้งสองฝ่ายควรช่วยเสริมกัน เพื่อให้เกิดประโยชน์จริง ๆ กับประชาชน และช่วยให้เทคโนโลยีได้รับการพัฒนาแล้วเข้าสู่ชุดสิทธิประโยชน์

ในปีแรก ความร่วมมือเริ่มจากโครงการบางโครงการ แต่ปัจจุบันได้ขยายตัวไปสู่งานที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น คุณหมอโกชิมองว่าความร่วมมือที่ลึกซึ้งมากขึ้นจะช่วยสร้างผลกระทบที่ดีต่อประชาชน “พอหน่วยงานในสังกัดกระทรวงทำงานใกล้ชิดกับ HITAP มากขึ้น กระบวนการพัฒนานวัตกรรม การนำนวัตกรรมเข้าสู่ชุดสิทธิประโยชน์ต่างๆ ก็จะชัดเจน โปร่งใสมากขึ้น และมีกฎระเบียบที่ดีขึ้น ซึ่งท้ายที่สุดแล้วก็เพื่อประโยชน์สูงสุดของคนไทย”

ในส่วนของพันธมิตรต่างประเทศ PI ยังคงมุ่งเน้นงานด้าน health promotion เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวทางปฏิบัติที่ดีจากนานาชาติ ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้ให้เหมาะกับบริบทของประเทศไทยได้  ตัวอย่างเช่น สำนักวิชาสาธารณสุขศาสตร์ซอว์สวีฮก มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (Saw Swee Hock School of Public Health, National University of Singapore) ซึ่งเป็นสถาบันชั้นนำด้านสาธารณสุขในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

นอกจากนี้ PI ยังมีเครือข่ายร่วมกับอาจารย์จากมหาวิทยาลัยฮิโตสึบาชิ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งปัจจุบันสังกัดอยู่ที่ London School of Hygiene & Tropical Medicine ประเทศอังกฤษ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านการประเมินผลโครงการสุขภาพ ความร่วมมือเหล่านี้ช่วยให้ PI ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวทางปฏิบัติที่ดีจากนานาชาติ ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้ให้เหมาะกับบริบทของประเทศไทยได้

หลังจากดำเนินงานมาได้ราวหนึ่งปีกว่า PI ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ความหมายของ Precise Interventions ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การใช้เทคโนโลยีล้ำสมัย แต่คือการผสมผสานระหว่างข้อมูลที่มีคุณภาพ การประเมินที่รอบด้าน และทีมงานที่หลากหลายเข้าด้วยกัน เพื่อให้มาตรการสุขภาพทุกมาตรการ ตรงเป้าหมาย มีประสิทธิภาพ และคุ้มค่าจริง

เป้าหมายสูงสุดของเราคือการทำให้ทุกบาทที่ลงทุนไปในโครงการส่งเสริมหรือสร้างเสริมสุขภาพ สร้างผลลัพธ์ที่ดีที่สุดต่อประชาชน" คุณหมอโกชิกล่าวทิ้งท้าย "และเราเชื่อว่า...ด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เราจะสามารถพัฒนาระบบประเมินที่ครอบคลุม โปร่งใส และตอบโจทย์ความต้องการของสังคมไทยได้

การก่อตั้ง PI จึงเป็นการขยายขอบเขตของการประเมินเทคโนโลยีสุขภาพของประเทศไทยให้ก้าวไปอีกขั้น จากการประเมินยาและเทคโนโลยีทางการแพทย์ สู่การประเมินทุกมาตรการที่ส่งผลต่อสุขภาพของประชาชน ด้วยความแม่นยำที่สูงขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา

หมวดหมู่
ผู้เขียน
HITAP