
ถ้าพูดถึงการเสพติด ผู้คนส่วนใหญ่จะนึกถึงการเสพยาบ้า ยาอี กัญชา หรือสิ่งเสพติดชนิดอื่น ๆ ที่พอรับเข้าไปในร่างกายบ่อย ๆ แล้ว ยากที่จะเลิก แถมส่งผลร้ายต่อร่างกาย ทว่า การเสพติดที่เรากำลังจะพูดถึงในวันนี้ไม่ใช่เรื่องการเสพติดยาเสพติดครับ แต่พอรับสิ่งนี้เข้าไปในร่างกายบ่อย ๆ แล้ว ยากที่จะเลิก แถมส่งผลร้ายต่อร่างกายเหมือนกันครับ บางทีอาจจะร้ายพอ ๆ กับยาเสพติดเลยก็ได้ครับ ผมเชื่อว่าไม่มีใครคิดว่าเป็นสิ่งนี้แน่
นั่นคือการเสพติดความเค็มครับ
คุณอาจจะสงสัยว่าทำไมคนเราถึงจะเสพติดความเค็มได้
นั่นก็เพราะว่าเมื่อร่างกายของเรารับรสเค็มเข้าไป จะเกิดการกระตุ้นให้สมองหลั่งสารโดปามีนซึ่งเป็นสารแห่งความสุขออกมา ทำให้คน ๆ นั้นรู้สึกว่ามีความสุข แต่การรับรสเค็มเข้าสู่ร่างกายมากเกินไป ก็จะกลายเป็นความสุขเคลือบยาพิษนะครับ
โซเดียมเป็นส่วนประกอบของอาหารหลายอย่างเลยครับ ทั้งเกลือ น้ำปลา ซีอิ๊ว บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ผงชูรส และอื่น ๆ อีกมากมาย และเมื่อเข้ามาอยู่ในร่างกาย โซเดียมจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด โดยช่วยในเรื่องการควบคุมสมดุลของเหลวในและนอกหลอดเลือด เนื่องจากโซเดียมจะจับกับโมเลกุลน้ำ หากบริเวณใดมีโซเดียมสูง จะมีน้ำสูงตามไปด้วย ดังนั้น หากมีโซเดียมอยู่ในกระแสเลือดมากเกินไป น้ำในกระแสเลือดจะเพิ่มขึ้น ทำให้แรงดันภายในหลอดเลือดเพิ่มขึ้นครับ หรือที่คนทั่วไปจะเคยได้ยินกันในนามของ “ความดันโลหิตสูง”
ความดันโลหิตสูงนี่แหละครับที่เป็นจุดกำเนิดของหายนะหลายอย่างในร่างกาย
ถ้าความดันโลหิตสูงที่เกิดขึ้นชั่วคราวจากการออกกำลังกายอย่างหนัก อันนั้นไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่นะครับ แต่มันจะเป็นเรื่องใหญ่ครับถ้าคุณแค่นั่งอยู่เฉย ๆ ก็มีความดันโลหิตเกิน 140/90 มม.ปรอท นั่นแปลว่าหัวใจของคุณกำลังทำงานอย่างหนักมาก ๆ ในการนำพาเลือดไปยังอวัยวะต่าง ๆ ซึ่งอาจทำให้หลอดเลือดเสื่อมสภาพเร็ว หรือทำให้อวัยวะอื่นที่เกี่ยวข้องเสื่อมสภาพ
จุดจบของการทำงานหนักมากเกินไปของอวัยวะต่าง ๆ นั้นก็คือ “พัง” หรือ “เป็นโรค” นั่นเอง ซึ่งโรคที่เกิดจากโซเดียมมีตั้งแต่โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคไตวายเรื้อรัง และยังสามารถนำไปสู่โรคมะเร็งกระเพาะอาหารได้ด้วย
ความเค็มเป็นเหตุแท้ ๆ แต่ทำไมคนยังไม่ลดเค็มกัน
อย่างที่บอกไปนั่นแหละครับ เราเสพติดความเค็มเพราะยิ่งกินมันเข้าไป สารแห่งความสุขก็จะยิ่งออกมา เลยทำให้ประชากรชาวไทยมีค่าเฉลี่ยการบริโภคโซเดียมอยู่ที่ประมาณ 3-4 กรัมต่อวัน แลดูเป็นตัวเลขที่ไม่เยอะใช่ไหมครับ แต่ถ้าเอามาเทียบกับปริมาณโซเดียมที่องค์การอนามัยโลกแนะนำให้บริโภคที่ 2 กรัมต่อวันแล้ว คนไทยกินโซเดียมไปมากกว่าที่ควรเกือบ 2 เท่าเลยนะครับ
นอกจากนั้นแล้ว ความดันโลหิตสูงยังเป็นสาเหตุที่พรากชีวิตชาวไทยมากเป็นอันดับ 2 รองจากบุหรี่ด้วยนะครับ
HITAP ได้ค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายลดการบริโภคโซเดียมของประเทศต่าง ๆ มาเทียบข้อมูล วิเคราะห์ และสรุปผลออกมา เพื่อที่จะสามารถเสนอเป็นนโยบายให้ภาครัฐพิจารณาได้ครับ
หลังจากการค้นคว้าวิจัยมาเป็นเวลาถึงครึ่งปี ทีมวิจัยของ HITAP ได้ข้อสรุปออกมาว่า ทุกนโยบายในต่างประเทศทั้งหมดที่ศึกษา ล้วนคุ้มค่าที่จะลงทุนในประเทศไทย
นโยบายที่นำมาทำการวิจัย ได้แก่ ภาษีโซเดียมหรือภาษีที่เรียกเก็บเพิ่มจากอาหารและเครื่องดื่มที่มีโซเดียมสูงกว่าที่กำหนด การปรับอัตราส่วนโซเดียมในอาหาร (ภาคบังคับ) การปรับอัตราส่วนโซเดียมในอาหาร (ตามความสมัครใจ) ฉลากโภชนาการซึ่งติดไว้ข้างผลิตภัณฑ์เพื่อบ่งบอกว่าอาหารหรือเครื่องดื่มนี้มีโซเดียมต่ำ และการสื่อสารสาธารณะแก่ประชาชนถึงโทษของการกินเค็ม ล้วนมีความคุ้มค่าทั้งหมด นั่นก็เพราะว่านโยบายเหล่านี้สามารถรักษาชีวิตผู้คนได้มากมาย แถมค่าใช้จ่ายในการลงทุนในนโยบายเหล่านี้ทั้งหมด ยังไม่สูงเท่ากับค่าใช้จ่ายที่จะต้องใช้ไปกับผู้ป่วยจากโรคที่เกี่ยวข้องกับโซเดียมนั่นเอง
หากเทียบค่าใช้จ่ายประมาณการทั้งหมดต่อ 10 ปีแล้ว
- ภาษีโซเดียม มีต้นทุนในการดำเนินนโยบายทั้งหมด 3 ล้านบาท สามารถช่วยให้ประชาชนรอดจากการเสียชีวิตจากโรคที่เกี่ยวกับโซเดียมได้ 110,173 ชีวิต
- การปรับอัตราส่วนโซเดียมในอาหาร (ภาคบังคับ) มีต้นทุนในการดำเนินนโยบายทั้งหมด 10 ล้านบาท สามารถช่วยให้ประชาชนรอดจากการเสียชีวิตได้ 109,053 ชีวิต
- การปรับอัตราส่วนโซเดียมในอาหาร (ตามความสมัครใจ) มีต้นทุนในการดำเนินนโยบายทั้งหมด 10 ล้านบาท สามารถช่วยให้ประชาชนรอดชีวิตได้ 75,578ชีวิต
- ฉลากโภชนาการ มีต้นทุนในการดำเนินนโยบายทั้งหมด 62 ล้านบาท สามารถช่วยหลีกเลี่ยงการเสียชีวิตของประชาชนได้ 83,244 ชีวิต
- การสื่อสารสาธารณะ มีต้นทุนในการดำเนินนโยบายทั้งหมด 27 ล้านบาท สามารถช่วยให้ประชาชนรอดจากการเสียชีวิตได้ 119,208 ชีวิต
และหากไม่มีนโยบายสนับสนุนการลดการบริโภคโซเดียม รัฐบาลจะต้องใช้เงินมากถึง 2.28 ล้านล้านบาท ในการดูแลผู้ป่วยจากโรคที่เกี่ยวข้องกับโซเดียม ซึ่งรวมทั้งค่าใช้จ่ายทางการแพทย์และนอกเหนือจากการแพทย์
ทางทีมวิจัยของ HITAP ได้ให้ข้อเสนอแนะว่าภาครัฐควรเริ่มต้นดำเนินการนโยบายภาษีโซเดียม การปรับอัตราส่วนโซเดียมในอาหาร (ภาคบังคับ) และการรณรงค์ผ่านสื่อ เป็น 3 นโยบายแรกพร้อมกัน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ทางสุขภาพที่ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม
แต่สำหรับผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ก็คือทุกคนต้องควบคุมตัวเองให้ได้นะครับ หยุดเสพติดความเค็ม เพื่อสุขภาพที่ดีนะครับ