เรื่องเด่น

เด็กอ้วน น่ารักหรือน่าเป็นห่วง ?

จำนวนเข้าชม

14
แชร์เรื่องเด่นนี้
เด็กอ้วน น่ารักหรือน่าเป็นห่วง ?

“เด็กอ้วน” ถ้ามองจากรูปลักษณ์ภายนอก ผู้ใหญ่อย่างเรา ๆ ท่าน ๆ คงจะเอ็นดูและพูดว่า “น่ารักจัง” แต่หากมองกันให้ลึกไปกว่านั้นถึงในด้านสุขภาพ “อ้วน” อาจเป็นโรคที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรังต่าง ๆ ได้

เหตุผลที่เด็กอ้วนไม่น่ารัก แต่กลับน่าเป็นห่วงคืออะไร ? งานวิจัยต่อไปนี้มีคำตอบ

อ้วนอาจเป็นโรคอ้วน

โรคอ้วน (Obesity) เป็นโรคประเภทหนึ่งที่ต้องรักษาและดูแล เกณฑ์การประเมินโรคอ้วนในเด็กและวัยรุ่นมีหลายเกณฑ์ตามมาตรฐานของประเทศนั้น ๆ ในส่วนของประเทศไทยมีแนวทางเวชปฏิบัติแนะนำให้ใช้น้ำหนักตามเกณฑ์อายุสำหรับเด็กอายุ 0 – 5 ปี และน้ำหนักตามเกณฑ์ส่วนสูงสำหรับเด็กอายุ 5 – 18 ปีของกระทรวงสาธารณสุขในการวินิจฉัยซึ่งจะมีลักษณะเป็นกราฟระบุไว้ในสมุดบันทึกสุขภาพ[1] โดยมีแบ่งเป็นระดับต่างๆ เช่น ผอม สมส่วน ท้วมและอ้วน ตัวอย่างเช่น เด็ก 10 ขวบมีความสูง 135 ซม. มีน้ำหนัก 30 กก. ถือว่าสมส่วน แต่หากน้ำหนักมากกว่า 45 กก.ขึ้นไปจะถือว่าอ้วน สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองสามารถประเมินเองได้ง่าย ๆ ผ่านแอปพลิเคชั่น kiddiary เพียงใส่ข้อมูลน้ำหนักและส่วนสูงจะสามารถประเมินเบื้องต้นได้ด้วยตัวเอง

สาเหตุของโรคอ้วนจะมีจากหลายปัจจัย ทั้งจากกรรมพันธุ์ซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้ และสาเหตุด้านพฤติกรรม เช่น การรับประทานอาหารไม่เหมาะสม การขาดการออกกำลังกาย

ประเทศไทยมีแนวโน้มของประชากรที่เป็นโรคอ้วนเพิ่มขึ้นทุกปี ความชุกของโรคอ้วนในเด็กระหว่างอายุ 6-12 ปีนั้นพบว่า เพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ จากร้อยละ 5.8 ในปี 2538 เป็น 6.7 ในปี 2554 และเป็น 9.7 ในปี 2552

ถ้าลูก ๆ หลาน ๆ ของคุณเป็นโรคอ้วนตั้งแต่วัยเด็ก ความเสี่ยงที่จะเกิดโรคในอนาคตก็อาจจะเพิ่มมากขึ้นไปอีก จากงานวิจัยการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบและการศึกษาความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ของมาตรการควบคุมการโฆษณาอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพทางโทรทัศน์ของ HITAP พบข้อมูลที่น่าสนใจว่า ความอ้วนในวัยเด็กมีความสัมพันธ์กับความอ้วนในวัยผู้ใหญ่ โดยเด็กและวัยรุ่นที่อ้วนมีแนวโน้มจะเป็นผู้ใหญ่ที่อ้วนมากกว่าเด็กและวัยรุ่นที่ไม่อ้วนถึง 5 เท่า และร้อยละ 55 ของเด็กอ้วนจะเป็นวัยรุ่นที่อ้วน, ร้อยละ 80 ของวัยรุ่นที่อ้วนจะเป็นผู้ใหญ่ที่อ้วนเมื่ออายุมากกว่า 30 ปี[2]

เหตุใดจึงอ้วน ?

หนึ่งในสาเหตุที่มีเด็กอ้วนเพิ่มมากขึ้นนั่นก็คือพฤติกรรมการกินอาหารของเด็กไทยในปัจจุบันเปลี่ยนไป เน้นรวดเร็ว เน้นปริมาณ มากกว่าคุณภาพทางโภชนาการ เพราะเด็กจะไวต่อการชักจูง โดยเฉพาะจากโฆษณาในรายการโทรทัศน์สำหรับเด็ก ซึ่งไม่มีการควบคุมโฆษณาอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ เช่น ขนมขบเคี้ยว น้ำอัดลม และอาหารฟาสต์ฟู้ด ในช่วงเวลาที่เด็กชอบดูทีวี

การสำรวจพฤติกรรมการบริโภคอาหารของคนไทยปี 2556 จากสำนักงานสถิติแห่งชาติที่สำรวจทุก ๆ 4 ปีพบว่า เด็กอายุ 6-14 ปี มีสัดส่วนการกินอาหารครบ 3 มื้อถึงร้อยละ 92.70 แต่ก็พบว่ามีการกินอาหารมื้อหลักเกินกว่า 3 มื้อ ชอบกินอาหารที่มีไขมันสูง 1-2 วัน/สัปดาห์ถึงร้อยละ 48.1 และกินอาหารสำเร็จรูปสูงถึงร้อยละ 52.2 ซึ่งเป็นปัจจัยสัมพันธ์กับโรคอ้วนอีกด้วย[3]

การศึกษาพบว่าอาหารที่ เด็กวัยเรียน (5-12 ปี) กินเป็นส่วนใหญ่ ได้แก่ ข้าว ก๋วยเตี๋ยว ขนมปัง เด็กวัยนี้ชอบกินอาหารที่ปรุงโดยวิธีการทอดน้ำมัน รวมทั้งอาหารฟาสต์ฟู้ด เช่น ไก่ทอด พิซซ่า และแฮมเบอร์เกอร์  อาหารมื้อหลักของเด็กวัยนี้คืออาหารมื้อเย็นและมักมีปริมาณมากกว่ามื้ออื่น เนื่องจากเป็นช่วงที่เด็กมีเวลามากที่สุด  นอกจากนี้ เด็กวัยนี้ยังชอบกินอาหารว่าง รวมทั้งอาหารว่างหลังมื้อเย็นหรือก่อนนอน โดยอาหารว่างของเด็กวัยนี้ส่วนใหญ่ ได้แก่ ขนมกรุบกรอบ ขนมปัง ขนมหวาน น้ำแข็งไส ไอศกรีม น้ำอัดลม พฤติกรรมดังที่กล่าวมานี้ ทำให้เด็กมีโอกาสอ้วนได้ง่าย

เด็กวัยนี้ยังได้รับอิทธิพลจากสื่อโฆษณาต่าง ๆ ได้ง่าย ทั้งทางโทรทัศน์ โปสเตอร์ และสื่อโซเชียล  ยิ่งไปกว่านั้น โฆษณาอาหารบางอย่างใช้เด็กเป็นตัวแบบหรือดาราที่เด็กชื่นชอบซึ่งทำให้เด็ก ๆ ถูกโน้มน้าวมากขึ้น และต้องการกินอาหารเหล่านั้น เด็กวัยนี้ยังถูกชักจูงได้ง่ายจากลักษณะภายนอกของอาหารที่พ่อค้าแม่ค้าทำให้ดูน่ากินยิ่งขึ้น แต่ส่วนประกอบส่วนใหญ่ของอาหารเหล่านั้นคือ แป้ง ไขมัน และเกลือ ซึ่งส่งผลให้เด็กอ้วนได้ง่ายและยังอาจเป็นสาเหตุของโรคอื่น ๆ เช่น เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง[4]

โรคร้ายที่มากับความอ้วน

เด็กที่มีค่า BMI สูงเมื่อเป็นผู้ใหญ่มีแนวโน้มจะเป็นโรคเบาหวานเพิ่มขึ้น 1.7 เท่า โรคหัวใจและหลอดเลือดสูงขึ้น 1.2 เท่า นอกจากนี้ร้อยละ 31 ของโรคเบาหวาน และร้อยละ 22 ของโรคความดันโลหิตสูง เกิดขึ้นกับผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วนในวัยเด็ก[5]

โรคอ้วนยังก่อผลเสียในระดับประเทศ มีการศึกษาพบว่าโรคอ้วนทำให้เกิดต้นทุนทางเศรษฐกิจรวมสูงถึง 12.14 พันล้านบาท ในปี 2553 มีผู้เสียชีวิตจากโรคอ้วนหรือภาวะน้ำหนักเกินในประเทศไทยสูงถึง 3.4 ล้านคน คิดเป็นสูญเสียปีชีวิตร้อยละ 4 โดยเฉพาะกลุ่มโรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง พบว่าเป็นสัดส่วนที่สูงที่สุดของสาเหตุการเสียชีวิตของคนไทย

ด้วยสถิติและเหตุผลทั้งหมดนี้ เมื่อเด็กอ้วนมากขึ้นและไม่ได้รับการแก้ไข ปัญหาโรคอ้วนจะทวีความรุนแรงมากขึ้น เกิดผลร้ายต่อสุขภาพเด็กในระยะยาวและเกิดภาวะแทรกซ้อนได้มากมาย ซึ่งจะเกิดผลเสียดังนี้

10 ผลเสีย ของโรคอ้วนในเด็ก[6]

1. ระบบกระดูกและข้อ เช่น ปวดหลัง ขาโก่ง เดินไม่สวย ปวดข้ออักเสบ .

2. ระบบหัวใจและหลอดเลือด คือ โรคหัวใจ กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ปัจจุบันพบคนเป็นโรคนี้ในคนที่อายุน้อยลงเรื่อย ๆ จากเดิม 50 – 70 ปี เหลือเพียง 30 กว่าปีเท่านั้น

3. ระบบทางเดินหายใจ คือ ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ

4. ระบบทางเดินอาหารและโรคตับ เช่น ไขมันพอกตับ

5. ระบบต่อมไร้ท่อและเมตาบอลิซึม เช่น การเกิดโรคเบาหวานชนิดที่สอง เกิดไขมันเลวมาก ไขมันดีลดลง

6. กลุ่มอาการเมตาบอลิก เช่น ภาวะอ้วนลงพุง โรคไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวานชนิดที่สอง โรคความจำเสื่อม โรคมะเร็ง โรคถุงน้ำในรังไข่ เป็นต้น

7. ความผิดปกติทางผิวหนัง เช่น บริเวณรักแร้ ขาหนีบ เกิดผื่นคันใต้ร่มผ้า เชื้อราได้ง่าย

8. ด้านจิตใจและสังคม เช่น โรคซึมเศร้า เครียด ไม่กล้าแสดงออก

9. ความเสี่ยงต่อการเติบโตเป็นผู้ใหญ่โรคอ้วน

10. มะเร็ง เช่น มะเร็งตับ ไต มะเร็งเต้านม มะเร็งมดลูก มะเร็งตับอ่อน เป็นต้น

ร่วมกันสำรวจพฤติกรรมของลูกหลานท่านว่ายังคงเป็นเด็กอ้วนที่น่ารัก หรือเป็นเด็กอ้วนที่เข้าใกล้การเป็นโรคอ้วน ครอบครัวที่น่ารัก ผู้ใหญ่อย่างเรา ๆ ท่าน ๆ มีส่วนสำคัญที่จะนำพาให้เด็กอ้วนห่างไกลจากโรคอ้วน

ถึงตอนนี้ HITAP กำลังมีงานวิจัย “การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบและการศึกษาความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ของมาตรการควบคุมการโฆษณาอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพทางโทรทัศน์” ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาถึงประสิทธิผลของมาตรการควบคุมโฆษณาอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพทางโทรทัศน์ในเด็กและความคุ่มค่าทางเศรษฐศาสตร์ของมาตรการดังกล่าวในบริบทของประเทศไทย ติดตามความคืบหน้าได้ที่ การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบและการศึกษาความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ของมาตรการควบคุมการโฆษณาอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพทางโทรทัศน์

[1] เกณฑ์สำหรับเด็กอายุ 0 – 5 ปี สามารถดูได้ที่นี่ เด็กหญิง http://gg.gg/fh9f2 เด็กชาย http://gg.gg/fh9kn  เกณฑ์สำหรับเด็กอายุ 5 – 18 ปีสามารถดูได้ที่นี่ http://www.rajini.ac.th/nurse/test.pdf โดยเกณฑ์สำหรับเด็กอายุ 5 – 18 ปีกำลังมีการจัดทำใหม่

[2] ที่มา : การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ และการวิเคราะห์อภิมาณโดย Simmonds และคณะในปี 2016

[3] ที่มา : บทความวิชาการ พฤติกรรมการบริโภคอาหารของวัยรุ่นไทย ผลกระทบและแนวทางแก้ไข Food Consumption Behavior among Thai Adolescents, Impacts, and Solutions) ปวีณภัทร นิธิตันติวัฒน์, ปร.ด. (การพยาบาล), วรางคณา อุดมทรัพย์, วท.ม. (โภชนศาสตร์)

[4] ที่มา : https://www.doctor.or.th/article/detail/1815

[5] ที่มา : การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ และการวิเคราะห์อภิมาณโดย Llewellyn A และคณะในปี 2016

[6] ที่มา : https://www.thaihealth.or.th/Content/47991-เด็กอ้วน น่ารักจริงหรือ.html