ข่าวสาร

ถึงเวลาที่ระบบสุขภาพและสิ่งแวดล้อมต้องเดินไปด้วยกัน:HITAP กับบทบาทการขับเคลื่อนอนาคตที่ยั่งยืน

จำนวนเข้าชม

12
แชร์ข่าวสารนี้

เมื่ออากาศที่เราหายใจกลับกลายเป็นภัยต่อสุขภาพ และในขณะเดียวกัน ระบบสุขภาพซึ่งมีหน้าที่ดูแลและส่งเสริมสุขภาวะของประชาชน อาจกำลังสร้างภาระต่อสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน ท่ามกลางปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ ระบบสุขภาพซึ่งเป็นทั้ง “สาเหตุ” และ “ผู้ได้รับผลกระทบ” จะเดินหน้าต่อไปในทิศทางใด?

เวทีเสวนาวิชาการภาคการประชุมเรื่อง “ความสัมพันธ์แบบสองทิศทางระหว่างการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสุขภาพ” ซึ่งจัดขึ้นภายใต้งานมหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ พ.ศ. 2568 (Thailand Research Expo 2025) ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2568 โดยคณะนักวิจัยจากฝ่ายเศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อม (Environmental Economics หรือ E2U) มูลนิธิเพื่อการประเมินเทคโนโลยีสุขภาพ (HITAP Foundation) มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจในความเชื่อมโยงระหว่างระบบสุขภาพกับสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งนำเสนอแนวทางเพื่อผลักดันให้ทั้งระบบสุขภาพและการรักษาสิ่งแวดล้อมสามารถเติบโตร่วมกันได้อย่างยั่งยืน

เมื่อสภาพอากาศเปลี่ยน (ระบบ) สุขภาพก็ต้องปรับ

อุณหภูมิโลกที่เพิ่มสูงขึ้นและมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่น PM2.5 ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งในระยะสั้น เช่น โรคในระบบทางเดินหายใจ และในระยะยาวจากภาวะการอักเสบที่เป็นปัจจัยการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคหัวใจและหลอดเลือด

ความเจ็บป่วยที่เกิดจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงทำให้ความต้องการบริการสุขภาพของประชาชนเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้สถานพยาบาลจำเป็นต้องใช้ทรัพยากรทั้งพลังงานไฟฟ้า น้ำ และวัสดุสิ้นเปลืองเพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อีกทั้งยังนำไปสู่การผลิตยาหรือเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ในปริมาณมากขึ้นด้วย กิจกรรมเหล่านี้ล้วนเป็นแหล่งสำคัญของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการสร้างของเสียจำนวนมาก ซึ่งวนกลับมาเป็นสาเหตุหนึ่งของปัญหาสิ่งแวดล้อม และกระทบต่อสุขภาพในที่สุด

วัฏจักรนี้สะท้อนให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและระบบสุขภาพต่างส่งผลกระทบซึ่งกันและกัน โดยกิจกรรมทางการแพทย์ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระดับที่แตกต่างกัน เช่น การฟอกไตทางหลอดเลือด (hemodialysis หรือ HD) ซึ่งต้องใช้พลังงานและน้ำมาก และอาจปล่อยคาร์บอนสูงถึง 60–70 กิโลกรัมต่อครั้ง ขณะที่การฟอกไตทางช่องท้อง (peritoneal dialysis หรือ PD) ปล่อยคาร์บอนน้อยกว่าอย่างมีนัยสำคัญคือประมาณ 10 – 30 กิโลกรัมต่อครั้ง นอกจากนี้ การใช้เวชภัณฑ์แบบใช้ครั้งเดียวก่อให้เกิดขยะพลาสติกอย่างต่อเนื่อง

ในทางกลับกัน การเปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาด เช่น โซลาร์เซลล์ในสถานพยาบาล และการลดบริการสุขภาพที่มีคุณค่าต่ำ (low-value care) ล้วนเป็นแนวทางสำคัญที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การคำนึงถึงมิติด้านสิ่งแวดล้อมในการออกแบบนโยบายด้านสุขภาพจึงเป็นกลไกสำคัญสู่ระบบสุขภาพที่ยั่งยืน

บรรยากาศระหว่างการเสวนาที่เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมแสดงความเห็น ซักถาม และมีส่วนร่วมในกิจกรรมเชิงปฏิสัมพันธ์หลากหลายรูปแบบ
หลายภาคส่วนร่วมเดินหน้าเพื่ออากาศสะอาดของคนไทย

หนึ่งในความคืบหน้าที่น่าจับตามอง คือ ร่างพระราชบัญญัติอากาศสะอาดเพื่อประชาชน ซึ่งเสนอให้รับรอง “สิทธิในการหายใจอากาศสะอาด” ในฐานะสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของคนไทยทุกคน พร้อมกำหนดมาตรการควบคุม บทลงโทษ และแนวทางจัดการปัญหาหมอกควันข้ามแดนอย่างเป็นระบบ ขณะที่หน่วยงานภาครัฐได้ดำเนินมาตรการหลากหลายเพื่อบรรเทาผลกระทบจากมลพิษทางอากาศต่อสุขภาพ เช่น การผลักดันวาระแห่งชาติเรื่องฝุ่นละออง การบูรณาการกับระบบประกันสุขภาพและการสร้างเสริมสุขภาพ รวมถึงการจัดโครงการตรวจคัดกรองโรคในกลุ่มเสี่ยง

ด้านงานวิชาการ HITAP ร่วมกับภาคีเครือข่ายทำการทบทวนวรรณกรรมอย่างรวดเร็ว (rapid review) เพื่อค้นหามาตรการที่สามารถลดผลกระทบทางสุขภาพจากฝุ่น PM2.5 ในเขตกรุงเทพมหานคร โดยพบว่ามีหลายมาตรการที่มีความเป็นไปได้ อย่างไรก็ดี แต่ละมาตรการมีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน ประเด็นที่สำคัญคือ การออกแบบมาตรการเหล่านี้ให้คุ้มค่า ครอบคลุม และยั่งยืน โดยไม่ก่อให้เกิดผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

วัดให้เห็น เพื่อลดให้ได้

หากไม่มีก็ไม่อาจบริหารจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อมได้อย่างเป็นรูปธรรม หนึ่งในแนวทางการจัดการจึงต้องเริ่มจากการเก็บข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นท์อย่างเป็นระบบ เพื่อให้เข้าใจสถานการณ์ในปัจจุบัน

ในเวทีเสวนาได้กล่าวถึง 2 เครื่องมือสำคัญที่คณะนักวิจัยจาก HITAP มีส่วนร่วมในการพัฒนาขึ้นเพื่อเสริมความเข้าใจและการมีส่วนร่วมในการลดคาร์บอน ได้แก่ Thai Hospital Emissions Management System (THEMS) ระบบติดตามการปล่อยคาร์บอนของสถานพยาบาล ซึ่งจะช่วยให้การวางแผนเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างเป็นรูปธรรมในอนาคต และเกม Carbon Quest แอปพลิเคชันที่ช่วยติดตามการปล่อยคาร์บอนจากกิจกรรมในชีวิตประจำวัน พร้อมส่งเสริมให้ประชาชนตระหนักถึงบทบาทของตนในการดูแลสิ่งแวดล้อม และสร้างแรงจูงใจในการเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างยั่งยืน

ฟังเสียงประชาชนเพื่อออกแบบนโยบายที่ยั่งยืน

อีกหนึ่งกิจกรรมที่น่าสนใจในเวทีเสวนานี้คือ การนำเสนอคำถามแบบจำลองทางเลือก (Discrete Choice Experiment หรือ DCE) ที่เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมได้สะท้อนความเต็มใจใน เพื่อให้เกิดการปรับปรุงด้านสิ่งแวดล้อม ข้อมูลจาก DCE อาจสามารถนำไปใช้กำหนดทิศทางนโยบายที่ตอบสนองต่อความต้องการของสังคมได้ต่อไป

คณะนักวิจัยจากฝ่ายเศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อมหรือ E2U กับบทบาทวิทยากรในเวทีเสวนาวิชาการครั้งนี้ (จากซ้ายไปขวา: คุณวิลาสินี สำเนียง, Dr. Nishanta Sharma, Ms. Yin May Tun, ดร. วิศวะ มาลากรรณ, คุณภัณฑิรา สะพานแก้ว, คุณณฐนน ดิษกรธาราวณิช, คุณธนกร เจริญกิตติวุฒ และ Mr. Sarin K C)
ถึงเวลาดูแลสุขภาพประชาชนและสุขภาพโลกไปพร้อมกัน

ระบบสุขภาพไม่ได้เป็นแค่ผู้รับผลกระทบจากปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาและปัจจัยขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน จึงทำให้ระบบสุขภาพไทยจำเป็นต้องปรับตัวสู่ความยั่งยืน ด้วยแนวทางที่ดูแลทั้งสุขภาพของประชาชนและสุขภาพของโลกไปพร้อมกัน เพราะระบบสุขภาพที่ยั่งยืนอาจเริ่มต้นจากการป้องกันไม่ให้เจ็บป่วยตั้งแต่ต้น เพื่อลดภาระต่อทั้งระบบสุขภาพและต่อสิ่งแวดล้อมของโลกใบนี้

ผู้เขียน
HITAP